บทที่ 3 3
“เฮ้อ มะลิแกเลือกทางที่ถูกต้องแล้ว สิ่งที่คุณหญิงทำให้แกชาตินี้ก็คงตอบแทนไม่หมด” อีกอย่างคำพูดของคุณหญิงผกาแก้วไม่ใช่มีเพียงแค่นั้น ถ้าเธอแต่งงานกับบุตรชายของหล่อน มะลิวัลย์ก็ไม่ต้องหยุดเรียนอย่างที่เคยคิดเอาไว้ เด็กสาวยังคงได้เรียนต่อจนจบ ไหนจะปีหน้าที่เธอต้องขึ้นมหาลัยแล้ว ความฝันที่เด็กสาวอยากเรียนในคณะในฝัน อยากทำงานในสายที่จบมาจะได้มีเงินเลี้ยงดูหญิงชราต่อไป เธอจึงตอบตกลงคุณหญิงผกาแก้วทันที
เช้าของอีกวัน
มะลิวัลย์มาเฝ้าหญิงชราเฉกเช่นเคย เธอนั่งอ่านหนังสือไปด้วย เพราะช่วงนี้ถึงไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียน แต่เธอก็ต้องเรียนออนไลน์อยู่ดี การอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าหากว่าเธออยากจะเข้ามหาลัยที่ใฝ่ฝันเอาไว้
เอี๊ยด เสียงเปิดประตูเข้ามาในห้องพักฟื้นที่คุณหญิงผกาแก้วจัดไว้ให้กับยายแวว ก่อนที่คนตัวเล็กจะหันหน้าไปมองที่ประตูพอเห็นว่าเป็นผู้มีพระคุณ เด็กสาวก็รีบยกมือไหว้ทักทายทันที
“ทำอะไรอยู่จ๊ะหนูมะลิ สะดวกคุยกับฉันหน่อยไหม?”
“หนูอ่านหนังสืออยู่ค่ะ สะดวกคุยค่ะคุณหญิง” มะลิวัลย์บอกออกไป
ทั้งสองเดินลงมาโซนอาหารในโรงพยาบาลของเอกชนแห่งหนึ่ง ก่อนที่คุณหญิงผกาแก้วจะพูดบอกว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ฉันคุยกับลูกชายแล้ว ทางนั้นคงไม่ปฏิเสธอะไร ที่มาวันนี้ฉันอยากถามหนูว่าหนูเต็มใจจริง ๆ ใช่ไหมหนูมะลิ?” ถึงเธออยากให้บุตรชายแต่งงาน เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายอาลัยอาวรณ์อดีตคนรักที่เคยทอดทิ้งไป แต่ทว่าเธอก็อยากได้ยินจากคนตัวเล็กอีกครั้งว่าเต็มใจที่จะแต่งงานกับบุตรชายของเธอจริง ๆ เด็กสาวก้มหน้าลง ก่อนจะตอบออกไปอย่างไม่คิดอะไรมาก เพราะเรื่องนี้เธอไตร่ตรองเอาไว้แล้ว
“ค่ะ มะลิเต็มใจ” พอได้ยินอย่างนั้นคุณหญิงผกาแก้วก็ยิ้มออกมา เธอไม่ใช่พวกที่แบ่งชั้นวรรณะอะไร ถึงมะลิวัลย์เป็นเด็กที่ยากจน แต่มารยาทเรียบร้อย การกตัญญูรู้คุณมันทำให้เธอนึกเอ็นดูเด็กสาวตรงหน้านี้ไม่น้อย
“ต่อไป หนูมะลิเรียกฉันว่าแม่นะจ๊ะ เพราะตอนนี้หนูเป็นสะใภ้ของโขมศิริกุลแล้ว” คำพูดของหญิงวัยกลางคนมันทำให้เด็กสาวตื้นตันใจไม่น้อย คำว่าแม่ที่เธอปรารถนาที่จะเอ่ยออกมาตลอดชีวิต ในวันนี้มีคนมาบอกให้เธอเรียกว่าแม่แล้ว
“มะ แม่ คุณแม่” เด็กสาวอดน้ำตาซึมออกมาไม่ได้ คุณหญิงผกาแก้วเห็นท่าทางของว่าที่ลูกสะใภ้ก็นึกเอ็นดูมากขึ้นกว่าเดิม เธอลุกขึ้นไปโอบกอดร่างบางเอาไว้แน่น
“ต่อไปแม่คนนี้จะดูแลหนูเองนะจ๊ะ ลูกสะใภ้ของแม่” อ้อมกอดที่อบอุ่นนั้นทำให้เด็กสาวรู้สึกมีความสุขไม่น้อย เธอเคยได้ยินโบราณว่าการที่มีสามีดี ยังไม่ดีเท่ามีแม่สามีดี การที่ได้เป็นสะใภ้ของคุณหญิงผกาแก้วอาจจะเป็นเรื่องดีในชีวิตเธอก็ได้ แต่ทว่าใครเลยจะรู้ว่าการที่เธอแต่งงานกับคณากร มันคือการพาตัวเองเดินลงสู่นรกดี ๆ นี่เอง เพราะหลังจากที่เธอได้เจอหน้าว่าที่สามี พอเดินทางกลับมา ชายหนุ่มก็ดูไม่พอใจทันทีที่คนเป็นแม่จับเขาให้แต่งงานกับเธอ
“ผมไม่แต่งกับยัยเด็กนี่ คุณแม่คิดอะไรอยู่ครับถึงให้ผมแต่งงานกับเด็กที่ยังไม่จบมัธยมปลาย ผมไม่อยากได้เมียเด็ก!” สายตาดุดันของคณากรมองมาทางคนตัวเล็กที่เอาแต่นั่งก้มหน้าตัวสั่น ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาเลยสักคำ
“กร ทำไมต้องขึ้นเสียงใส่น้องด้วย มาถึงก็โวยวายใส่แม่แบบนี้เลยเหรอฮะ?” เสียงหญิงวัยกลางคนเอ่ยถามบุตรชายอย่างไม่พอใจ ทันทีที่คณากรกลับมาถึงก็โวยวายต่อว่า พาดพิงไปยังเด็กสาวต่าง ๆ นานา
“ผมไม่แต่ง ยังไงก็ไม่แต่ง!”
“ต้องแต่ง แม่ไม่ยอม ถ้ากรไม่แต่ง แม่จะยกมรดกทุกอย่างแบ่งให้หนูมะลิและมูลนิธิ จะไม่ให้กรแม้แต่แดงเดียว!” ชายหนุ่มได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งไม่พอใจ ผู้หญิงคนนี้ทำอะไรกับแม่ของเขาถึงได้มีความคิดแบบนี้
“คุณแม่ครับ!”
“แม่อายุเยอะขึ้นทุกวันทำเพื่อแม่แค่นี้ไม่ได้เหรอกร หรือว่ากรยังอาลัยอาวรณ์ผู้หญิงคนนั้นอยู่อีก?”
“ไม่ใช่เพราะวิเวียน!”
“ถ้าไม่ใช่ก็แต่งงานกับหนูมะลิ!” คณากรได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาคงปฏิเสธไม่ได้สินะ ชายหนุ่มหันหน้าไปมองคนตัวเล็กอีกครั้ง เด็กคนนี้ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่ติดอย่างเดียวคืออายุของเขาและเธอคนนี้ พอมานับเขาอายุแล้วห่างกันถึงสิบสี่ปีเชียวนะ เกิดมาชาตินี้คณากรไม่คิดว่าตัวเองต้องมาแต่งงานกับคนอายุห่างจากเขาได้มากขนาดนี้
“ยังไงแม่ก็จะให้ผมแต่งให้ได้ใช่ไหมครับ?”
“ใช่ ถ้าไม่ใช่คนนี้ แม่ก็ไม่ต้องการใครมาเป็นสะใภ้อีก” ไม่รู้เด็กคนนี้มีดีอะไรถึงทำให้แม่ของเขาหลงขนาดนี้ ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็คงขัดใจมารดาไม่ได้สินะ ไม่สู้แต่งไปก่อนค่อยต่างคนต่างอยู่
“แต่งก็แต่ง” คุณหญิงผกาแก้วได้ยินคำพูดของบุตรชายก็ยิ้มดีใจออกมาทันที เธอรู้ดีว่าคณากรรักเธอมาก คงยอมทำเพื่อเธออยู่แล้ว
“กรลูกแม่ แม่ดีใจที่สุดเลยที่ลูกยอมแต่งงานกับหนูมะลิ” หญิงวัยกลางคนเข้ามากอดบุตรชาย ก่อนจะส่งยิ้มมาให้คณากร
“แม่จะรีบหาฤกษ์หายาม ลูกชายแม่จะได้เป็นฝั่งเป็นฝาสักที”
“แต่ผมมีข้อแม้” ชายหนุ่มพูดขึ้นทำให้คุณหญิงผกาแก้วขมวดคิ้วเข้าหากันทันที
“ข้อแม้อะไรลูก?”
